SPCG ประกาศผลการดำเนินงาน ปี 2565 รายได้ 4,358.2 ล้านบาท ลดลง 3% มีกำไรสุทธิ 2,464.3 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.20 บาท
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2565 และกำไรสะสม ในอัตราหุ้นละ 0.85 บาท
ซึ่งบริษัทได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายในงวดนี้ อัตราหุ้นละ 0.60 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 633,474,000 บาท (หกร้อยสามสิบสามล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นสี่พันบาทถ้วน)
โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันพุธที่ 15 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม 2566 ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566
ดร.วันดี เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขณะนี้ยังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 บริษัทมีรายได้รวมจากการขายและให้บริการ จำนวน 4,358.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,464.3 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่ 2,736.6 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 2.20 บาท

ในส่วนของรายได้ที่ลดลงเป็นผลจากจำนวนกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ จำนวน 374.3 ล้านหน่วย จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 36 โซลาร์ฟาร์ม รวมกำลังการผลิตกว่า 260 เมกะวัตต์ ลดลงจากปีก่อน จำนวน 12.7 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นร้อยละ 3 อย่างไรก็ตาม SPCG ยังคงเดินหน้านโยบายปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการต้นทุนด้านต่าง ๆ
อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้นทุน O&M (Operating & Maintenance) สำหรับธุรกิจโซลาร์ฟาร์มทั้งในปัจจุบันและอนาคตลดลงอย่างเป็นนัยสำคัญ เพื่อเป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องและรักษากำไรของบริษัท ทั้งนี้คาดว่าในปี 2566 ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.วันดีกล่าวว่า ในส่วนของบริษัท โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟ จำกัด หรือ “SPR” (บริษัทในเครือ SPCG) ผู้นำด้านการออกแบบและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Power Roof System) มีรายได้จำนวน 512.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 141 เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งบริษัทเดินหน้าขยายการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการติดตั้งไปแล้วกว่า 200 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ เนื่องจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกระแสการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่มีความต้องการมากขึ้น ด้วยนโยบายที่ประกาศให้ประเทศไทยจะเข้าสู่การใช้พลังงานในรูปแบบ Carbon Neutral ในปี 2050 และเป็น Net Zero ในปี 2065 อีกทั้งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ลดลง ถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ถ่านหิน
ซึ่งนอกจากจะมีราคาสูงแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญของโลกปัจจุบัน โดย SPR ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดและกลยุทธ์ในการขายอยู่ตลอด เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและทางเลือกให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ยังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะเมื่อลูกค้าติดตั้งระบบโซลาร์รูฟของบริษัทแล้วต่างเห็นผลลัพธ์ที่ดี สามารถลดค่าไฟได้ทันทีเมื่อติดตั้ง อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้กิจการของลูกค้ามีกำไรเพิ่มขึ้น